วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

My Chemical Romance


มาย เคมิคอล โรแมนซ์ (อังกฤษMy Chemical Romance) เป็นวง ร็อกอเมริกันจากนิวเจอร์ซีที่ก่อตั้งวงในปี ค.ศ. 2001 ประกอบด้วย เจอราร์ด เวย์ (Gerard Way) นักร้องนำ, แฟรงค์ ไอเอโร (Frank Iero) มือกีตาร์, เรย์ โตโร (Ray Toro) มือกีตาร์, บ็อบ ไบรเออร์ (Bob Bryar) มือกลอง และ ไมค์กี้ เวย์ (Mikey Way) มือเบส
ไฟล์:Mcrthreecheers.jpg
ในช่วงสัปดาห์วันเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน เจอราร์ด เวย์ ซึ่งเดิมทีทำงานอยู่ในนิวยอร์ก ในอาชีพเกี่ยวกับการออกแบบการ์ตูนทางด้านศิลปะ และสถานที่ทำงานของเขาก็อยู่ไม่ห่างจากตึกเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์เท่าไรนัก เขาได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ตอนที่เครื่องบินชนตึก และภาพอันน่าสยดสยองต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขา ความน่าสะพรึงกลัวและเศร้าสลดต่อเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจอันสำคัญในการเริ่มต้นเขียนเพลง "Skylines and Turnstiles" เพื่อแสดงความรู้สึกกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น [2] และเริ่มก่อตั้งวงโดยชวนเพื่อนในสมัยเรียน แมต เพลิสเซียร์ มาเป็นมือกลอง พวกเขาก่อตั้งวงในปี 2000 เริ่มต้นด้วยการแต่งเพลงร่วมกันในช่วงที่เรียนอยู่ที่ไฮสคูล ก่อนที่จะได้มือกีตาร์ เรย์ โตโร มาร่วมงานกับพวกเขาแล้วไม่นานทั้งสามก็ได้สมาชิกครบ 5 คน แต่ทางวงนั้นยังขาดมือเบส เมื่อไมค์กี้ เวย์ น้องชายคนเดียวของเจอราร์ดรู้ว่าพี่ชายอยากก่อตั้งวง แต่ยังขาดแคลนมือเบสอยู่ เขาจึงอาสามารับหน้าที่นี้เอง ถึงแม้ว่าเดิมทีแล้วเขาจะไม่เคยเล่นเบสเลย เขาเสียสละเวลาและพยายามอย่างหนักในการฝึกซ้อมเบสทุกวัน จนในที่สุดก็ได้มาเป็น มือเบสประจำวง และคนสุดท้าย แฟรงค์ ไอเอโร ก็ตามมาเล่นกีตาร์ ชื่อวง มาย เคมิคอล โรแมนซ์ (My Chemical Romance) นั้นนำมาจากหนังสือเรื่อง "Ecstasy: Three tales of chemical romance" ซึ่งประพันธ์โดยนักเขียนชาวสก็อตต์ เออร์วิน เวลช์ (Irvine Welsh) โดยไมค์กี้เป็นผู้เสนอชื่อนี้ขึ้นมา และทุกคนก็มีมติยอมรับชื่อนี้ใช้เป็นชื่อวง หลังจากรวมตัวกันครบพวกเขาก็ได้เริ่มออกทัวร์แถบตะวันออกเฉียงเหนือของ คอร์ริดอร์ (Corridor)
ไฟล์:Mcrbullets.jpg
เพลงแรกที่ได้บันทึกเสียงในอัลบั้มชุดแรกคือ "Our Lady of Sorrows" มาย เคมิคอล โรแมนซ์ได้เซ็นสัญญากับค่าย อายบอลล์ เรคคอร์ดส์ (Eyeball Records) พร้อมกับเริ่มทำอัลบั้มชุดแรกของวง I Brought You My Bullets, You Brought Me Your Love ออกวางขายในปี 2002 โดยได้ เจออฟฟ์ ริคลีย์ (Geoff Rickly) นักร้องนำวง เติร์สเดย์ (Thursday) มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ [3]
ต่อมาทางวงในเซ็นสัญญากับค่ายรีไพรส์ เรคคอร์ดส์ (Reprise Records) สังกัดวอร์เนอร์ มิวสิก (Warner Music) ออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อ Three Cheers for Sweet Revenge ออกวางขายในปี 2004 มีเพลงดังในอัลบั้มอย่าง "I'm Not Okay (I Promise) ", "Helena" และ "The Ghost of You"
ในอัลบั้มชุดที่ 3 “The Black Parade” ชุดนี้มาย เคมิคอล โรแมนซ์ ร่วมงานกับร่วมกับ ร็อบ คาวัลโญ่ (Rob Cavallo) โปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานร่วมกับกรีนเดย์ และอลานิส มอริสเส็ทท์[4] โดยมี “Welcome To The Black Parade” เป็นซิงเกิ้ลแรกที่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ส่วนในอันดับอัลบั้มในอเมริกาเปิดตัวที่อันดับ 2
มาย เคมิคอล โรแมนซ์ ยังได้โชว์ในงาน Red Carpet On The Rock ซึ่งเป็นงาน Pre-Event ของ “เอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส” เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม2006

[แก้]

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ที่มาของ Limpbizkit

ข้อมูลพื้นฐาน 

แหล่งกำเนิด  แจ็กสันวิลล์ ฟลอริดา 
แนวเพลง นูเมทัล,แร็ปคอร์,แร็ปเมทัล 
ปี 1994-ปัจจุบัน 
ค่าย Flip, Interscope, Geffen 

สมาชิก 

Fred Durst
Sam Rivers
John Otto
DJ Lethal
Terry Balsamo
 
อดีตสมาชิก 

Wes Borland
Mike Smith 
ลิมป์ บิซกิต (อังกฤษ: Limp Bizkit) เป็นวงนูเมทัลสัญชาติอเมริกัน จากเมืองแจ็กสันวิลล์ ฟลอริดา สมาชิกปัจจุบันคือ เฟร็ด เดิสต์ นักร้องนำ, แซม ริเวอร์ส มือเบส , จอห์น อ็อตโต มือกลอง เทอร์รี บัลซาโม มือกีตาร์และเทิร์นเทเบิล ส่วนมือกีตาร์เดิม เวส บอร์แลนด์ ออกจากวงในปี 2001 หลังจากออกอัลบั้ม 3 ชุด และแทนโดยไมค์ สมิธ ในการออกผลงานชุดที่ 4 Results May Vary แล้วบอร์แลนด์เข้ามาร่วมวงอีกครั้งในชุด The Unquestionable Truth (Part 1) และออกอีกครั้งในปี 2006 เพื่อทำงานร่วมกับวงอื่น วงมียอดขายอัลบั้ม 33 ล้านชุดทั่วโลก

ข่าวลือเรื่องการรวมวงใหม่ครั้งนี้ เกิดจากภาพถ่ายสมาชิกวงขณะซ้อมดนตรีที่แพร่ออกไปในอินเตอร์เน็ต จากนั้นนักร้องนำ "เฟรด เดิร์สต์" (Fred Durst) ก็เสริมข่าวให้เป็นที่ฮือฮายิ่งขึ้น ด้วยการเขียนในเว็บไซต์ มายสเปซ ของวงว่า "ใช่ (พวกเราเงียบหายกันไป) ก็สักพักแล้วนะ แต่สักพักที่ว่าคงไม่นานเกินรอ เพราะใกล้ถึงเวลาที่จะพา บิซกิต กลับมาสู่จักรวาลนี้แล้ว นี่ผมพูดด้วยความตั้งใจจริงและด้วยแรงจูงใจอันแรงกล้าเลยนะ"

มือเบส "แซม ริเวอร์ส" (Sam Rivers) มือกลอง "จอห์น ออตโต" (John Otto) มือคีย์บอร์ดและเทิร์นเทเบิล "ดีเจ ลีธัล" (DJ Lethal) ดูจะไม่มีปัญหากับการรวมวงใหม่ แต่มือกีตาร์ "เวส บอร์แลนด์" (Wes Borland) มีทีท่าค่อนข้างชัดเจนว่าจะไม่กลับมาร่วมวงอีก เนื่องจากเขาเพิ่งเป็นสมาชิกใหม่ของวง "มาริลีน แมนสัน" (Marilyn Manson) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2008 นี้เอง 


หลายๆ คนจึงกำลังตั้งคำถามว่า หาก ลิมป์ บิซกิต จะกลับมาอีกครั้งในปี 2008 ใครจะมาเป็นมือกีตาร์แทน เวส ในทีแรกมีข่าวว่า "เทอร์รี่ บัลซาโม" (Terry Balsamo) อดีตมือกีตาร์ของ ลิมป์ บิซกิต เมื่อปี 1995-1996 ที่ย้ายไปเป็นสมาชิกวง "โคลด์" (Cold) และ "อีวานเนสเซนส์" (Evanescence) ตามลำดับนั้น จะกลับมาร่วมก๊วนกับเพื่อนเก่าใน ลิมป์ บิซกิต อีกครั้ง

ทว่าในเวลาต่อมา แหล่งข่าวที่อ้างว่าใกล้ชิดกับ เทอร์รี่ ออกมาแก้ข่าวว่า เทอร์รี่ ยังไม่ได้ออกจากวง อีวานเนสเซนส์ เขาเพียงแค่ร่วมงานกับ แซม มือเบสของ ลิมป์ บิซกิต ในงานส่วนตัวชิ้นพิเศษเท่านั้น ดังนั้นแฟนเพลงจึงยังต้องติดตามข่าวคราว และรอการประกาศอย่างเป็นทางการ จึงจะแน่ใจได้ว่า ลิมป์ บิซกิต จะก้าวต่อไปในทิศทางใด

ผลงาน

Three Dollar Bill, Yall$ (1997)
Significant Other (1999)
Chocolate Starfish and the Hot Dog Flavored Water (2000)
Results May Vary (2003)
The Unquestionable Truth (Part 1) (2005)

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/Limp_Bizkit

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติตำนาน Heavy Metal ~ Judas Priest

วงดนตรี Heavy Metal ที่ถือว่าเป็นแม่แบบให้กับวงรุ่นหลังๆ ที่เราไม่สามารถมองข้ามไปได้ก็คือ

Judas Priest เสียงร้องของ Rob Halford และ Twin Lead ของ K.K. Downing & Glen


 Tipton นั้นนับว่าสร้างขุนพล Metal รุ่นหลังๆ ได้อย่างมหาศาลเลย เอาล่ะ... เรามาศึกษากันว่า 


Judas Priest นั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน..


. 

Judas Priest นั้นก่อตั้งกันตั้งแต่ปี 1968 แถวๆ Birmingham ประเทศอังกฤษ โดยที่มี K.K. Downing และ Ian Hill มือกีตาร์และมือเบสเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กๆ ทั้งคู่ได้ตั้งชื่อวงว่า Judas Priest หลังจากที่ได้ฟังงานของ Bob Dylan ในเพลง The Ballad of Franky Lee and Judas Priest และก็มี Alan Atkins มาร้องนำให้ รวมไปถึง Alan Moore ที่ตีกลอง ในช่วงแรกๆ Judas Priest ยังเล่นเพลงแนว Blues Rock ของวง Cream, Hendrix และ The Yardbirds ต่อมาเมื่อ Alan Atkins และ Alan Moore ลาออกไปเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับการเงินต่างๆ 

ในปี 1974 Ian Hill ได้ไปเดทกะสาวน้อยนางนึงซึ่งสาวน้อยนางนี้ก็มีพี่ชายอีกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำโรงหนังนั่นก็คือ Rob Halford นั่นแหละ ต่อมาก็ได้คุยๆ กันแล้วถูกใจกับเสียงร้องสุดโหดของ Halford เข้าก็เลยชักชวนกันมาร่วมวงกัน ไม่นานหลังจากที่ได้ Halford มาร่วมวงก็ไปเจอ John Hinch จากวง Hiroshima ก็ชวนมารวมตัวกันเต็มรูปแบบ ทั้งหมดซุ่มฝึกซ้อมและออกคอนเสิร์ทตามละแวกบ้าน พอสะสมเงินทองได้พอสมควรก็ออกเดินสายที่นอร์เวย์และเยอรมัน 

หลังจากที่กลับจากการตะเวนทัวร์ยุโรปแล้วทางวงก็มีความคิดที่จะออกอัลบั้มเสียที แต่ Sound ก็ยังไม่ลงตัว K.K. Downing ก็เลยไปชักชวนเพื่อนเก่าอีกคนนามว่า Glen Tipton จากวง Flying Hat Band มาร่วมอีกคน เมื่อขุมกำลังครบทั้งหมดก็เดินเข้าห้องอัดและเริ่มต้นทำงานกันอย่างหนัก ในที่สุดอัลบั้ม Rocka Rolla ก็ออกวางตลาดโดยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการบันทุกเสียงนิดหน่อยแต่ก็หยวนๆ ได้ หลังจากนั้น Judas Priest ก็ทยอยออกอัลบั้มมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 1978 Hell Bent For Leather ก็ออกวางจำหน่าย อัลบั้มนี้ถือว่าเป็นต้นแบบของ New Wave of British Heavy Metal อีกอัลบั้มนึงเลยนะ ซึ่งวงหน้าใหม่ที่ออกอัลบั้มในช่วงนั้นก็พวก Diamond Head, Iron Maiden หรือแม้กระทั่งวงจากอเมริกาที่ดังเป็นพลุแตก Van Halen ในชุดนี้ Judas Priest ก็ได้มือกลองคนใหม่มาแทน Alan Moore ก็คือ Les Blink ที่เป็นนักดนตรีห้องอัดที่มีฝีไม้ลายมือพอตัวแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความดุดันของ Judas Priest ได้ หลังจากนั้นในปี 1979 Dave Holland ก็เข้ามาแทน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง Dave Holland ตีกลองได้ดุดันสมใจเลยทีนี้... 

ข้ามมาปี 1990 ในช่วงหน้าร้อน Judas Priest ก็สร้างประวัติศาสตร์ของวงการดนตรีขึ้นเมื่อทางวงถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุให้เด็กวัยรุ่นสองพระหน่อซดเหล้าและดูดกัญชาจนได้ที่ก็เอาปืนยิงกบาลตัวเองตายมันซะอย่างงั้นเนื่องจากฟังเพลง Better by you, Better than me ซึ่งมีคำว่า Do It แอบบรรจุไว้ในเพลงด้วย ซึ่งเหคุการณ์นี้คงจะเกิดกับคนไทยได้ยากเนื่องจากแปลไม่ออก อิอิ... เหตุการณ์ช่วงนี้ข้ามไปเลยก็แล้วกันนะ แต่ถ้าสนใจจะศึกษาจริงๆ ก็ตามไปศึกษากันต่อได้ที่http://video.google.com/videoplay?docid=-5636910946432086857 

ปีต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นทัวร์ Painkiller ในปี 1992 Rob Halford ก็ลาออกจากวงไปแล้วไปแอบตั้งวง Fight แทย ทางวงก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจซักเท่าไหร่นัก แต่ก็พยายามหานักร้องนำคนใหม่ ซึ่งก็คือ Tim "reaper" Owens ซึ่งการได้นักร้องนำคนนี้มาจากไหน? Tim เคยทำวง Tribute Band ของ Judas Priest มาด้วยนะ และที่น่าสนใจก็คือ เหตุการณ์ช่วงนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์เรื่อง Rock Star นั่นแล... 

ในปี 1998 Rob Halford ประกาศตนว่าเป็นเกย์... ดูๆ แล้วน่าจะเป็นเกย์คิงซะด้วย 555 

หลังจากที่ลาออกมาเกือบๆ 12 ปี Rob Halford ก็กลับมารวมตัวกับ Judas Priest อีกครั้งท่ามกลางความเสียวก้นของสมาชิกในวง และในปี 2003 อดีตมือกลองของ Judas Priest ก็คือ Dave Holland โดนจับข้อหาตุ๋ยเด็กหนุ่มวัย 17 อะไรกันวะเนี่ย วงนี้แปลกๆ ถึงว่าชอบใส่เสื้อหนังตอกหมุด... 

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ 

- การเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของพวกเค้าก็คือคอนเสิร์ทปิดทัวร์ของ Led Zeppelin ในช่วงปี 1977 
- ในปี 2002 องค์กรพิทักษ์สัตว์ PETA ได้ทำเรื่องร้องเรียนให้ Judas priest เลิกใส่เสื้อหนังซะ ยัง... ยังไม่พอ ยังมาขอให้เปลี่ยนชื่ออัลบัม Hell Bent for Leather ไปเป็น Hell Bent for Pleather มันซะอย่างงั้น 
- มีการนำเพลง You've got another thing comin' มาใช้กับเกม Guitar Hero ด้วย ซึ่งก็รวมไปถึงเกม Grand Theft Auto ก็เอาเพลง Electric Eyes มาใช้อีกต่างหาก 
- แรงบันดาลใจในการใช้ Twin Lead ของ Judas Priest นั้นได้มาจากวง Wishbone Ash 
- ชื่อเล่นของวงก็คือ 'Metal Gods' 
- ส่วนวงดนตรีที่ได้รับแรงบันดาลใจของ Judas Priest มานั้นก็มีเยอะ เช่น Iron Maiden, Anthrax, Accept, Mettalica, Death, Megadeth, Manowar, Merciful Fate, Venom, Slayer ฯลฯ 

ประวัติ ที่มาเล็กหน่อย Avenged Sevenford

แปลโดย Wikipedia

เอเวนเจด เซเวนโฟลด์ (Avenged Sevenfold หรือ A7X )
 
เป็นวงเฮฟวีเมทัล จากอเมริกา ได้รับรางวัล ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจากเพลง Bat Country จากงาน เอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส 2006 เริ่มก่อนตั้งวงในปี 1999 โดยอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จคืออัลบั้ม City of Evil ในปี 2005

เอเวนเจด เซเวนโฟลด์ได้ก่อตั้งวงขึ้นเมื่อปี 1999 โดยมีอัลบั้มแรกชื่อว่า Sounding the Seventh Trumpet โดยอัลบั้มนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ที่สมาชิกทั้งหมดของวงนั้นยังอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ได้ออกวางขายกับสังกัด Good Life Recordings หลังจากนั้น Synyster Gates ได้เข้ามาร่วมกับทางวงและทำการอัดเสียงเพลง To End The Rapture ใหม่โดยมี Gates เล่นในเพลงนี้ด้วยและได้วางขายโดย Hopeless Records จากนั้นอัลบั้มต่อมามีชื่อว่า Waking the Fallen ซึ่งยังอยู่กับ Hopeless Records เช่นเดิม อัลบั้มนี้มาแรงจนได้รับคำชมเป็นอย่างมากจากนิตยสารโรลลิงสโตน หลังจากนั้นไม่นานเอเวนเจด เซเวนโฟลด์ ก็ได้เซ็นสัญญากับ Warner Bros. Records.

ค่ายที่อยู่ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน
Good Life Recordings (2001-2002)
Hopeless Records (2002-2004)
Warner Bros. Records (2004-ปัจจุบัน) 




-----------------------------------------------------------------------------

Edit : เพิ่มเติมข้อมูลแปลโดย ScEnE 
Mainstream Success

City of Evil อัลบั้มที่ 3 ที่กำหนดออกวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 7 June 2005 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแนวเพลงจากเดิมที่เป็นแบบ Metal Core. M.Shadows เลือกที่จะไม่ร้องแบบ Scream (ตะโกนร้อง,คำรามเสียงแหบๆ)
เหมือนกับ 2 อัลบั้มแรกที่เคยทำ นั่นก็คืออัลบั้ม Sounding the seventh trumpet และ Waking the fallen นั่นเอง. เพราะ Shadows มีปัญหาเส้นเลือดแตกในลำคอและต่อมาต้องเข้ารับการผ่าตัดช่วยเหลือให้ดีขึ้น เค้าจึงบอกว่าจุดนี้ที่ทำให้เค้าต้องเปลี่ยนสไตล์การร้องของเค้าเอง.

ใน DVD All Excess โปรดิวเซอร์ของวงในอัลบั้มที่ 2 และ 3 “Mudrock” ได้บอกไว้ว่าตั้งแต่ก่อนที่จะมีการทำอัลบั้ม Waking the fallen นั้น M.Shadows ได้พูดคุยกับเขาไว้แล้วว่าต้องการที่จะให้อัลบั้มนี้ใช้การอัดเสียงแบบ Scream ครึ่งนึง ร้องปกติครึ่งนึง และอัลบั้มต่อไปจะไม่ใช้เสียงร้องแบบ Scream (City of Evil) แต่ว่าภายหลัง Shadows ก็ฝึกร้อง Scream ได้ดีขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ที่เค้าต้องเข้ารับการผ่าตัด และยังได้รู้มาช่วยฝึกด้านการใช้เสียงให้ด้วย นั่นคือ “Ron Anderson” ผู้ซึ่งเคยทำงานร่วมกับศิลปินมากมาย อย่างเช่น
กลุ่ม Various Artists จาก Axl Rose / Kylie Minogue / Chris Cornell / My Chemical Romance.


------------------------------------------------

ผลงานล่าสุด (2007)
ในปี 2006 Avenged Sevenfold ได้ออกทัวร์ที่อเมริกา, อังกฤษ, ยุโรป, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
หลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้มีการยกเลิกทัวร์ในช่วง Fall และ Winter 2006.
ทางวงได้ออกมาประกาศว่า กำลังจะมีอัลบั้มใหม่ออกมาเป็นอัลบั้มที่ 4 ตามการที่ตั้งไว้จะมีกำหนดออกจำหน่ายในวันที่ 30 ตุลาคม 2007 ในอเมริกา
(ปัจจุบันนี้ได้ออกจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว)

Shadows ได้บอกไว้ว่า “อัลบั้มนี้จะไม่ใช่ภาคต่อของทั้ง 2 อัลบั้ม (Waking the fallen, City of evil)
แต่จะมีสิ่งที่น่าสนใจมาเซอร์ไพซ์ให้แฟนๆ (ก็ MVI น่านแหระนะ อิ๊ๆ)
ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทำเพลงในห้องอัดเสียง จะเสร็จสิ้นออกมาก็ประมาณเดือนสิงหาคมปี 2007 และจะมีการเริ่มออกทัวร์คอนเสริต์ในปี 2007
จะมีการทัวร์ในแถบเอเชียด้วย คือประเทศอินโดนีเซีย, สิงค์โปร์, ญี่ปุ่น,ไทย (ด้วย) 555+

ในวันที่ 9 สิงหาคม 2007 รายชื่อเพลงจากอัลบั้มใหม่จะถูกลงบอกไว้ในเว็บ Myspace ของทางวง
และในวันที่ 17 สิงหาคม 2007 ก็จะมีการปล่อย Single แรกออกมาเปิดตัว ชื่อว่าเพลง “Critical Acclaim”
ตามที่มีการแจ้งไว้บอกว่าเพลงนี้จะสามารถเข้าไปฟังได้ที่เว็บ iTunes.
ในวันที่ 28 สิงหาคม 2007 เพลงจะถูกนำลงในเว็บ Myspace แบบเต็มๆ.
ส่วน Music Video ตัวแรกจากอัลบั้มล่าสุดนี้ก็คือเพลง “Almost Easy”
ซึ่งจะเปิดฉายในรายการ Kerrang TV Playlist ที่ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 27 กันยายน 2007. 


ล่าสุดได้มีการทำ CD “String Tribute Band” ออกมาวางจำหน่าย
ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้ม City of Evil ของวง Avenged Sevenfold
สามารถหาฟังและดาวน์โหลดได้แล้วที่เว็บ iTune หรือสั่งซื้อได้ทางเว็บซื้อขายชั้นนำ.

ข้อมูลจาก :
 
http://en.wikipedia.org/wiki/Avenged_Sevenfold

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความเป็นมาของ Slipknot เจ้าพ่อ Metal ภายใต้หน้ากากแสนดุดัน





Iowa ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม "แปลกแยกไม่มีใครเสมือน." รัฐแห่งการเกษตรกรรม ซึ่งตั้งแต่ที่ Rock ’n Roll จรัสแสงในช่วงยุค50’s รัฐนี้ก็ไม่มีนักดนตรีระดับพระกาฬโผล่ขึ้นมาในสารบบดนตรี การให้ฉายาแก่นักดนตรีจากชื่อรัฐไม่เป็นที่ถกเถียงว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามเก้ามนุษย์หน้ากากจาก Des Moines ก็เข้าไปประดับในวงการดนตรีกับหน้ากากที่ทำขึ้นเองและการรุกเร้ารีบร้อนผสมผสานแนวดนตรีกับการสำรอกอันรุนแรงในแนว L.A. neo metal, hiphop, และ Downtuned screeching horror ล้วนแล้วแต่อยู่เหนือความคาดหมายเช่นเดียวกับแนวของเรื่อง Clock work Orange (นวนิยายแนววิทยาศาสตร์ ที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เป็นเนื้อหาที่เด็กวัยสิบห้าปีทำสิ่งที่ทารุณโหดเหี้ยม ขอไม่พูดลงลึกถึงรายละเอียด) 


          คุณเคยคิดถึงเกี่ยวกับวงดนตรีฮาร์คอร์เมทั่ลที่หนักหน่วงผนวกซาวด์อันรกหูที่มีกำเนิดมาจาก "the middle of nowhere" กันบ้างไหมว่าจะมีซาวด์เช่นไร? “ความรุนแรงอันบ้าคลั่ง” เพิ่งจะเริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเท่านั้น


          0,1,2,3,4,5,6,7, และ 8 คือเลขประจำตัวของเหล่ายอดมนุษย์ เอ๊ย! มนุษย์หน้ากาก (ชื่อจริงในภาคของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปเรียงตามหมายเลขคือดังนี้ ดีเจประจำวง ซิด วิลสัน, โคตรมือกลองร่างลูกหมา โจอี้ จอร์ดิสัน, จอมเกเรพอล เกรย์ในตำแหน่งมือเบส, เพอร์คัสชั่นจมูกยาวคริส เฟน, มือกีตาร์ร่างโย่งเจมส์ รู้ท, แซมเพลอร์เคลก โจนส์, ตัวตลกจอมบงการชอว์น คลาฮาน, มือกีต้าร์หมีควายมิก ทอมสัน, และคอรี่ เทย์เลอร์รับบทแผดเสียงคำรามตามลำดับ) 




          แต่ละคนมิเพียงแค่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ และตัวเลขที่น่าสยองพองเกล้าขนหัวลุกเป็นที่สุดแล้ว แต่มาพร้อมกับพรสวรรค์อันอุกอาจในการกระทำชำเราบรรเลงบรรลัยเครื่องดนตรีของแต่ละคนผสมผสาน และขัดแย้งในภาคดนตรีของเก้ามนุษย์หน้ากาก ผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นพระเจ้าและผู้ทำลายล้างของวงการโมเดิร์น เฮฟวี่ นี่คือ Slipknot และตอนนี้ด้วยอุปกรณ์และพรสวรรค์ที่พวกเขามีนั้น ณ เวลานี้โลกเราไม่มีทางเลือกใดๆแล้วเพราะการมาถึงของโคตรวงจากนรก Slipknot และคุณต้องตัดสินใจแล้วว่าจะรับมือกับมันอย่างไร


          ฟอร์มวงกันในตอนครึ่งหลังปี1995 ทางวงได้ผ่านพ้นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงสมาชิกดั้งเดิมและนี่ก็เป็นการมาถึง ซึ่งพวกเขาได้อธิบายไว้ว่าเป็น “กลุ่มครอบครัว” ทุกๆคนเป็นชาว Iowans ขนานแท้ ด้วยความที่ไม่ยะโสอวดดีและสถานที่ที่ลงตัวของพวกเขานั้น ทำให้ทางวงมีระยะห่างเรื่องเวลาเต็มที่ในการแก้ไขจุดผิดพลาดของความหนักกะโหลกป่วนโสตประสาทให้แจ่มแจ๋วและหนักแน่นยิ่งขึ้น ทางวงบันทึกเสียงและเผยแพร่อัลบั้มใต้ดินชุดแรกออกมาให้ผืนภิภพสะเทือนที่ชื่อ Mate Feed Kill Repeat 


          ในปี 1996 ในจำนวนจำกัด 1000 ชุดและชื่อเสียงของพวกเขาก็เสมือนกับลูกบอลที่ยิ่งหมุนยิ่งแรงไม่เคยหยุด ตั้งแต่ที่ดึงดูดความสนใจค่ายเพลงต่างๆ แต่สุดท้ายแล้ว Slipknot ได้ตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่าย Roadrunner ค่ายเพลง IAM RECORDSของโปรดิวเซอร์ผู้โด่งดัง รอส โรบินสัน ในปี 1997 และเดินทางไปบันทึกเสียงอัลบั้มบนดินชุดแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง Slipknot ที่ Indigo Ranch สตูดิโอใน L.A. กับโรบินสัน จากการระรัวเร็วรวดในบทเพลง Sic และ unforgiving bludgeon (ผู้แปลตึ๊บเลย) ของเพลง Surfacing ไปสู่ท่วงทำนองในแบบของ Sublime 


          ในเพลง Wait and Bleed และจังหวะขับเคลื่อนมนต์สะกดในเพลง Prosthetics บทสรุปสุดท้ายก็คือ 13 บทเพลงที่กอปรด้วยตัวอักษรแห่งความรักและความเกลียดชังไปสู่โลกภายนอก การทัวร์ที่จะบังเกิดตามมาได้รับการให้คำมั่นสัญญาว่า "จะไม่เหมือนเยี่ยงใครหน้าไหน จงเชื่อในสิ่งที่จะได้เห็น." ชอว์น กล่าวเช่นนั้น และนั่นคือคำชี้แจงโต้งๆถึงสิ่งที่จะมีปรากฏบนเวที




          จนกระทั่งคุณได้สดับสรรพเสียงที่พวกเขาสร้างขึ้น แม้อาจจะดูไร้สาระที่มีสมาชิกอยู่ในวงถึงเก้าหน่อ แต่หัวหน้าคณะอย่างชอว์นก็อ้างว่า มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่หว่าพวก “เมื่อ3ปีก่อนน่ะพวกเราต้องดูแลเรื่องตารางการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ทุกคนต้องตรงต่อเวลาและต้องอยู่ที่นั่นตลอด และพวกเราก็ต้องซ้อมกันเป็นหมู่คณะ 
เพลงของพวกเรามันขึ้นอยู่กับทุกคน คือถ้าขาดใครซักคนหรือแม้แต่ DJ ก็ตาม เพลงๆนั้นก็คงไม่ใช่เพลงของเราเพราะหากไม่มีใครคนใดคนหนึ่งมันก็เหมือนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในตัวเพลงหายไปมันหายไปจริงๆทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเสนอข้อคิดเห็น แม้แค่เพียงจุดเล็กๆที่จะเพิ่มมนต์ดำลงไปในตัวเพลง”


          แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์อันโดดเด่นในฐานะศิลปินแต่ทางวงก็ไม่เคยที่จะให้ภาพลักษณ์นั้นโดดเด่นกว่าตัวบทเพลง “พวกเราไม่เคยสวมชุดเหียกๆนี่แล้วพยายามทำให้คนเข้าหาหรอกเว้ย” มือกลองร่างลูกหมากล่าว เราทำไปก็เพราะ หลังจากถูกเหยียดหยามอย่างไม่ลดละ สำหรับการพยายามที่จะเล่นดนตรีหรือทำอะไรก็ตามใน Des Moines ไม่มีใครให้ฟักคุณหรอก ไม่มีใครมาใส่ใจอะไรทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงไม่ไปใส่ใจกับชื่อหรือว่าหน้าตาของพวกเราหรอก เราใส่ใจเฉพาะตัวดนตรีและเพลงของเรา ดนตรีและเสียงเพลงคือสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่าเราจะมีชุดหมีใหญ่กับหน้ากาก และเหตุผลบางประการที่เจ๋งจั๋งหนับที่เราต้องใส่มันต่อๆไป ก็เพราะว่ามันได้กลายเป็นโลโก้ของเราไปแล้วเว้ย”




          และตอนนี้หน้ากากนั้นเป็นเครื่องหมายการค้าของพวกเขาทั้งเก้าไปเสียแล้ว และมันคงยากแสนเข็ญที่จะให้พวกเขาปราศจากมันไป ชอว์นกล่าวว่า “หน้ากากคือมีส่วนช่วยเพิ่มลักษณะเฉพาะตัวของพวกเรา ทุกๆคนแยกแยะการกระทำกับความบ้าคลั่งออกจากกัน และพวกเราก็คอยปรับเปลี่ยนหน้ากากของพวกเราอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอะไรที่สุดยอดรื่นเริงบรรเทิงจิตในเวลาที่เราใส่หน้ากากเป็นชั่วโมงๆ แล้วถอดมันออกหลังจากนั้น คุณเอ๊ย สิ่งแรกที่พวกเราจะสบถออกมาคือ “พระเจ้า…แ***ผ่อนคลายฉิบ!” แต่ก็นะ พวกเราก็จะสวมมันกลับแล้วเดินไปรอบๆหลังจากการแสดงสิ้นสุดลง“ และการนำเสนอภาพลักษณ์แสงสีและเวทีก็เปลี่ยนแปลงด้วยตลอดเวลามีเพียงสิ่งเดียวที่คงเดิม




          นั่นคือดนตรีของพวกเขา “อั๊วคิดว่าสิ่งต่างๆ ใน Slipknot จะเปลี่ยนแปลงไปเสมอเพราะเราเติบโตขึ้นในทุกปี กับสิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงไปและบางสิ่งที่ Slipknot นั้นก้าวเดินเพื่อทำมันตลอดเวลา” มาดูเกี่ยวกับตัวเลขที่พวกเขาแปะไว้บนแขนเสื้อชุดหมีใหญ่กัน ตัวเลขเหล่านี้เป็นเลขแห่งความโชคดีของพวกเขา และมีความหมายความสำคัญกับแต่ละคนอย่างมากด้วย เมื่อพวกเขาเลือกมันแล้ว “ทุกๆ คนก็จะตกอยู่ในห้วงแห่งตัวเลข” ชอว์นกล่าว “มันไม่มีใครซักคนมานั่งเถียงกันเรื่องตัวเลขหรอกเพราะมันประสาทเกินว่ะ”


          ต้องขอบคุณ รอส โรบินสัน ผู้ล่ำสันที่คอยดูแลอยู่เบื้องหลังในงานของ Slipknot, มุมองของทางวง ประสบความสำเร็จ ชอว์นรู้สึกว่าโรบินสันนี่แหล่ะคือแรงกระตุ้นและผลักดันอันเยี่ยมยอดในการทำอัลบั้มของวงให้สำเร็จ “พวกเรามันวงโคตรของโคตรวงสุดโฉดและมันก็ยากมากๆ ที่หาใครซักคนที่กล้าจะย่างก้าวเข้ามาสู่อาณาจักรสุดป่าเถื่อนในเวลาที่เราเล่นกันเป็นหมู่คณะ” และ รอสก็พาเราไปสู่ห้องอัดเสียงและก็ตั้งเป้าหมายทะลุกลางปล้องขึ้นมา ตัวเขาเองก็ทำตามเป้าหมายนั้น เขาตื่นไปที่ห้องอัดเสียงตั้งใจทำงานทุกวันจนประสบผลสำเร็จ ดังนั้นเขาคือคนที่ทำให้อัลบั้มของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา 


          เมื่อค่าย Reps และ Robinson เดินทางมาชมความสุดยอดในการแสดงสดของวงที่ Des Moines หลังจบโชว์สมาชิกแต่ละคนเลือกที่จะมุ่งไปยังคลับเปลื้องผ้าในเมืองมากกว่าจะเอนเตอร์เทนผู้ชม ภายหลังจากที่เจ้าบ้านกล่าวทักทายแขกเสร็จทางวงก็ถูกเผาจนเกรียม และตอนนี้ก็ไม่มีใครในวงต้องการจะย่างก้าวเข้าไปในคลับเปลื้องผ้านั้นอีกเลย “ไอ้คลับโป๊เฮงซวยเอ้ย! มันบัดซบมากที่จะพาใครไปที่คลับกระจอกๆอย่างนั้น เรามีอย่างอื่นที่ต้องทำมากกว่าเว้ย” ความ “เหียก” ก็บรรจุในกล่องเล็กๆโก้เก๋นามว่า Slipknot เสียงอันไม่ลงรอยกันของ “ความแปลกแยกไม่มีใครเสมอเหมือน”ภูมิประเทศที่ Slipknot อาจจะเป็นได้ทั้งตัวตลกหรือจอมราชัณย์ในสายตาของทุกคน




ประวัติ Gun 'n roses ตำนาน Heavy Metal ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุค 80





ข้อมูลพื้นฐาน 

แหล่งกำเนิด ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย 
แนวเพลง ฮาร์ดร็อก 
ปี 1985 - ปัจจุบัน 
ค่าย Geffen, UZI Suicide 
เว็บไซต์ www.gunsnroses.com 

สมาชิก 

Axl Rose
Dizzy Reed
Robin Finck
Tommy Stinson
Chris Pitman
Richard Fortus
Bryan Mantia
Bumblefoot
Frank Ferrer



สำหรับยุค 80 คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักพวเขา นับตั้งแต่อัลบั้มแรกออกวางตลาด พวกเขาก็ครอบครองโลกใบนี้ไว้ในอุ้งมือ เหอๆ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Gun N' Roses เอาล่ะ ไปรู้จักพวกเขาให้ดีกว่านี้ดีกว่าครับ

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 1962 ไอ้หนู Axl Rose หรือ William Bailey (นามสกุลยังกะแดง ไบเล่เลยวุ้ย) ก็ถือกำเนิดขึ้น
ถัดมาไม่กี่วัน 8 เมษายนปีเดียวกัน Izzy Stradlin [Jeff Isbell] ก็คลานออกมา
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1964 Duff McKagan [Michael McKagan] ก็ตามมาอีกคน
วันที่ 22 มกราคม 1965 Steven Adler ก็เกิดตามมา
คนสุดท้าย วันที่ 23 กรกฏาคม 1965 ไอ้ฟู Slash (Sual Hudson) ก็เกิดมาจนได้

ช่วงประมาณปี 1972-1976 Steven Adler กับ Slash ก็ย้ายไปร้อยเอ็ด เอ้ย... Los Angelis

ตั้งแต่ปี 1976 -1983 ไอ้พวกที่เอ่ยๆ ชื่อมาข้างบนนั่นน่ะ ก็ต่างคนต่างเล่นดนตรีไปตามเรื่องตามราว โดยที่เจอกันบ้าง แต่ไม่ได้มีอะไรไปกว่าเพื่อนร่วมอาชีพเท่านั้น แต่....

ช่วงปลายๆ ปี 1983 Axl ก็ได้พบกับ Izzy และ Chris Weber และ Johnny Kreiss แล้วก็ตั้งวงดนตรีขึ้นชื่อว่า A.X.L และภายหลังก็เปลี่ยนมาเปง Rose ในภายหลัง แต่สุดท้ายพวกเค้าก็เปลี่ยนชื่อวงอีกครั้งคือ Hollywood Rose

ปลายปี 1984 Izzy ก็แยกตัวไปอยู่วง London กับ Chris Weber และ Axl ก็ลาออกจากวง Hollywood Rose และไปฟอร์มวงใหม่ชื่อว่า LA. Gun โดยมีสมาชิกอีกสองคนก็คือ Ole Beich และ Rob Gardner

พอสิ้นปี 1984 Hollywood Rose ก็กลับมารวมตัวเฉพาะกิจอีกครั้ง และ Tracii Guns ก็เข้ามาแทน Chris Weber

ต้นปี 1985 Duff ตัดสินในหันมาเล่นเบส และได้พบกับ Steven Adler กะ Slash โดยที่ตอนนั้นพวกเค้าก็ฟอร์มวงขึ้นมาคือ Road Crew และ Slash ก็โชว์ท่อน Riff ที่คิดขึ้นมาสดๆ ซึ่งภายหลังก็คือเพลง Paradise City นั่นเอง

26 มีนาคม 1985 LA Gun และ Hollywood Rose ก็มารวมตัวกันโดยใช้ชิ่อว่า Gun 'N Roses โดยที่พวกเค้าไม่ยอมรับชื่อวงอีก 2 ชื่อก็คือ Head of Amazon และ AIDS โดยที่มีสมาชิกดังนี้ Axl, Izzy, Tracii Guns, Beich และ Gardner

ต่อมา Duff ก็เข้ามาแทน Beich

และนี่ก็คือรายชื่อสมาชิก Gun 'N Roses ในยุคก่อตั้ง

W. Axl Rose (vocals)
Izzy Stradlin (guitar)
Tracii Guns (guitar)
Duff McKagan (bass)
Rob Gardner (drums)



ต่อมา ในวันที่ 6 มิถุนายน 1985 Slash กับ Steven Adler ก็เข้ามาแทน Tracii Guns และ Rob Gardner

ช่วงปลายปี 1985 G'N R ก็เริ่มแต่งเพลงของตัวเอง หลังจากที่เล่นเพลงของคนอื่นมานาน โดยที่เพลงเหล่านั้นก็คือ Welcome To The Jungle, Reckless Life, It's So Easy และ Don't Cry

ช่วงนี้พวกเค้าได้รับความนิยมอย่างมาก คลับที่พวกเค้าไปแสดงได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม โดยที่คลับเหล่านั้นก็ต้อนรับศิลปินระดับโลกมาแล้วมากมาย คลับพวกนี้ก็คือ Whisky a Go-Go, Roxy, The Water Club, Troubadour

25 มีนาคม 1986 พวกเค้าก็ได้เซ็นสัญญากับ Geffen Record และพวกเค้าก็เริ่มทำอัลบั้ม Appertite for Destruction

ประมาณปลายปี 1986 พวกเค้าก็อัดอัลบั้มแรกเสร็จ ทาง Geffen ก็วางแผนว่าจะวางจำหน่ายอัลบั้มนี้ในเดือนกรกฏาคม 1987 และทาง Geffen ก็ปล่อย EP ของพวกเค้าออกมาก็คือ Live Like A Suicide

15 มิถุนายน 1987 Single It's so easy และ Mr.Brownstone ก็วางจำหน่าย

และแล้ว 21 กรกฏาคม 1987 อัลบั้มแห่งประวัติศาสตร์ Appertite for Destruction ก็ออกวางจำหน่ายในอเมริกา และเดือนสิงหาคม ก็วางจำหน่ายที่อังกฤษ

29 กันยายน - 8 ตุลาคม 1987 ทางวงออกทัวร์ในยุโรป โดยที่ไปจบที่ Hammersmith Odeon ในลอนดอน โดยในระหว่างทัวร์ที่ Amsterdam Axl ก็พ่นคำนี้ออกมา "people like Paul Stanley from Kiss can suck my dick! And some of these old guys, that say we're ripping them off, maybe they should listen to some of their earlier albums and remember how to play them" ไปแปลกันเอาเองเน้อ

เดือนพฤศจิกายน 1987 พวกเค้าร่วมทัวร์กับ Motley Crue Slash กับ Steven Adler ก็ช่วย Nikki Sixx (มือเบสจอมระห่ำ) จากอาการช๊อกยา
23 เมษายน 1988 Appertite for Destruction ก็ติดอันดับ 10 ของ Billboard จนได้
23 กรกฤาคม 1988 อัลบั้มนี้ก็ขึ้นไปจนถึงอันดับ 1 ของ BillBoard
30 พฤศจิกายน 1988 ทาง Geffen และทางวงก็ปล่อยอัลบั้มซึ่งเป็นงานรวมเพลงเก่าๆ ของพวกเค้า และเพลงที่เล่นในแบบ Acoustic ออกมาคือ Lies! The Sex, The Drugs, The Violence, The Shocking Truth แต่หลายๆ คนบอกว่ายาวชิบหาย ก็เลยเปลี่ยนเป็น G N' R Lies
ในช่วงนี้พวกเค้าก็ออกทัวร์อีกมากมาย จนเกิดเรื่องเกิดราวเยอะแยะ แต่ไม่มีเหตุการไหนที่จะโด่งดังเท่าอันนี้
11 กันยายน 1989 G N' R ได้รับรางวัล Best Heavy Metal/Hard Rock Video ได้จากเพลง Sweet Child O' Mine แต่หลังเวที Vince Neil ต่อยปาก Izzy จนปากของ Izzy แหกเพราะแหวนที่นิ้ว และบังเอิญชิบที่กล้องสามารถจับภาพนั้นได้ด้วย อุอุ
เดือนกุมภาพันธ์ 1990 Darren (Dizzy) Reed เข้ามาร่วมวงในตำแหน่ง Keyboard
11 กรกฏาคม 1990 Steven Adler ถูกไล่ออกจากวงเนื่องจากไม่หยุดเสพยา และผู้มาแทนก็คือ Matt Sorum จากวง The Cult
ช่วงเดือนกันยายน 1990 พวกเค้ามีเพลงอยู่ในกำมือถึง 36 เพลง โดยที่จะตั้งชื่ออัลบั้มว่า Use Your Illusion ตามภาพเขียนของ Mark Kostabi โดยที่ทาง Geffen และ ทางวงจะวางขายเป็นอัลบั้มคู่ และในหนึ่งอัลบั้มจะมี 2 แผ่นด้วยกัน
9 พฤศจิกายน 1990 Axl, Slash, Duff, Sebastian Bach (Skid Row), James Hetfields & Kirk Hammett และ Lars Ulrich ร่วมตัวกันในงาน RIP magazine's party ที่ Hollywood Palladium โดยใช้ชื่อวงว่า GAK และเล่นเพลง You're Crazy, For Whom The Bell Tolls, Piece Of Me, Hair Of The Dog, Whiplash (#1) and Whiplash (#2)
20 - 23 มกราคม 1991 ทางวงได้ไปเปิดคอนเสิร์ทที่ Rio de Janeiro ท่ามกลางคนดูจำนวนมหาศาล สองรอบรวมกัน 260,000 คน!!!
25 มิถุนายน 1991 You're could be mind ออกวางจำหน่ายใน US.
และเพลงนี้ก็ได้นำไปเป็น Soundtrack ในหนังเรื่อง Terminator2 : Judgememt Day โดยที่มีพี่กล้าม Arnold Schwarzenegger ได้มาเปนพระเอกมิวสิกด้วยล่ะ กักๆๆ


ในช่วงนี้ทางวงก็ไปทัวร์คอนเสิร์ทในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยที่ทางวงก็ได้ก่อเรื่องก่อราวมากมายมหาศาล เช่นพังห้องพัก ทุ่มทีวีลงมาจากห้องพัก เหล้า ผู้หญิง แต่ก็อย่างว่าตั๋วทุกใบจำหน่ายเกลี้ยง รวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 370,000 ใบ โอววววว
16 กันยายน 1991 Use Your Illusion I&II ออกวางจำหน่ายที่ยุโรป
17 กันยายน 1991 Use Your Illusion I&II ออกวางจำหน่ายที่อเมริกา
น่าแปลกที่ชุด II ออกวางจำหน่ายก่อน และแปลกกว่าก็คือทั้งสองอัลบั้ม ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ใน Billboard ทันที ซุ๊ดหยอดว่ะ
7 พฤศจิกายน 1991 Izzy Stradlin ลาออกจากวงและผู้ที่มาแทนก็คือ Gilby Clarke จากวง Kill For Thrills และสมาชิกยุคนี้ก็คือ
W. Axl Rose (lead vocals, piano)
Slash (lead guitar, backing vocals)
Duff McKagan (bass, backing vocals)
Gilby Clarke (rhythm guitar, backing vocals)
Dizzy Reed (keyboards, percussion)
Matt Sorum (drums, backing vocals)

และในโชว์คอนเสิร์ทที่ Worcester, MA. โดยที่มี Soundgarden มาเป็นวงเปิด ทางวงก็นำนักดนตรีสนับสนุน โดยที่มีพวกเครื่องเป่ามาเล่นด้วย
Ted Andreadis (keyboards, harmonica, background vocals)
Diane Jones (background vocals)
Roberta Freeman (background vocals)
Tracy Amos (background vocals)
976-Horns:
Lisa Maxwell (horns)
Cece Worrall (horns)
Anne King (horns)

9 ธันวาคม 1991 ทางวงก็เล่นที่ Madison Square Garden ต่อหน้าผู้ชมกว่า 160,000 คน
31 ธันวาคม 1991 ฉลองปีใหม่กันที่ Joe Robbie Stadium 180,000 คน อูยยยย
20 - 22 มกราคม 1992 Live at Tokyo Dome โชว์สามรอบคนดูรวม 250,000 คน และทำมีการบันทึกเทปอีกด้วย
20 เมษายน 1992 ทางวงได้ไปร่วมในคอนเสิร์ท The Freddie Mercury Tribute Concert for AIDS Awareness. ต่อหน้าผู้ชมเต็มสนาม Wembley 170,000 คน โดยที่พวกเค้าร้องเพลง Paradise City และ Knockin' On Heaven's Door และร่วมร้องกับป้าแอ๋ว (Elton John) ในเพลง Bohemian Rhapsody และ We will rock you & We are the Champion
12 พฤษภาคม - 4 กรกฏาคม 1992 ทัวร์ยุโรป รวมแฟนเพลงกว่า 600,000 คน ตั๋วขายหมดเกลี้ยงจ้า
9 กันยายน 1992 Axel ด่า Courtney Love (เมีย Kurt Kobain) ว่า " You shut your ###### up or I'm taking you down to the pavement!" ทาง Kurt ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากคำว่า "Shut up, ######!" ให้กับเมียตัวเอง ในงานเปิดตัวหนังสือ "Come As You Are The Story Of Nirvana" ของ Michael Azerrad
8 ธันวาคม 1992 ทางวงปล่อยบันทึกการแสดงสดครั้งแรกของวงออกมา โดยใช้ชื่อว่า Use Your Illusion World Tour 1992 In Tokyo ไปหามาดูกันนะครับ มันส์สุดๆ เลยล่ะ
ในช่วงนี้ทางวงก็ออกทัวร์อีกหลายร้อยโชว์ โดยที่มีผู้ชมหลายแสนคน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตั๋วจะขายหมดหรือไม่หมด อุอุ อ่อ...ช่วงนี้ทางวงก็เริ่มทำอัลบั้มใหม่เหมือนกันด้วย
23 พฤศจิกายน 1993 ทางวงก็ออกอัลบั้มใหม่ ซึ่งเป็น Cover Album ออกมา คือ The Spaghetti Incident?
เดือนมิถุนายน 1994 Gilby Clark ถูกไล่ออกจากวง
เดือนตุลาคม 1994 Slash's Snakepit ซึ่งเป็นวงเดี่ยวของ Slash ทำอัลบั้มเสร็จ และจะวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 1995
กุมภาพันธ์ 1995 Slash's Snakepit ออกวางจำหน่าย โดยที่มีสมาชิกดังนี้ Slash, Gilby, Matt Sorum, Eric Dover (ต่อมาก็มาตั้งวง Jelly fish) และ Mike Inez (Alice in chain)
30 ตุลาคม 1996 Slash ลาออกจากวง
ทางวงก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงทะเลาะและมีปัญหากันตลอดเวลา สาเหตุก็คือเรื่องเงินและสุรา+ยาเสพติด
เดือนมกราคม 1997 Axl ก็ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธ์ชื่อ Guns N' Roses แต่เพียงผู้เดียว
21 กรกฏาคม 1997 ครบรอบ 10 ปี Appertite fot Destruction
เดือนสิงหาคม 1997 Duff ลาออกจากวง
16 มีนาคม 1999 Steven Adler เป็นผู้รับรางวัล Diamond Award จาก RIAA เนื่องจากอัลบั้ม Appertite for Destruction ขายได้เกิน 15 ล้านแผ่นทั่วโลก
30 พฤษจิกายน 1999 อัลบั้ม "Live Era '87 - '93" ออกวางจำหน่าย
ในช่วงนี้ก็มีนักดนตรีชื่อดังหลายคนเข้าๆ ออกๆ วงกันเป็นว่าเล่น โดยมีราบชื่อดังนี้ Bryan "Brain" Mantia, Buckethead and Robin Finck และ Josh Freese
และก็ช่วงนี้ Slash, Duff และ Matt ก็รวมตัวกันอีกครั้ง โดยมี Josh Todd มาร้องนำและ Keith Nelson มาเล่นกีต้าร์ให้ ในงาน Randy Castillo Tribute
หลังจากนั้นพวกเค้าก็ร่วมกับ Sen Dog (Cyperss Hill) และ Steven Tyler จาก Aerosmith ออก Single มา มีเพลง It's So Easy, God Save The Queen, Nice Boys, Lit Up, Paradise City และ Mama Kin
หลังจากนั้น Axl และ G N'R ของเค้าก็ออกทัวร์อีกครั้ง ถ้าจำได้ ไอ้ Buckethead เอาเคเอฟซีบักเกตมาสวมหัว ทำให้คล้ายๆ Slash อ่ะ จำได้มั้ย 555
6 มิถุนายน 2003 Scott Weiland, Duff McKagan, Matt Sorum, Slash และ Dave Kushner รวมตัวกันฟอร์มวง Velvet Revolver
15 มีนาคม 2004 Geffen ออกรวมงาน Greatest Hits ในยุโรป โดยที่ติดอันดับ 1 ใน 9ประเทศ ที่อังกฤษ ติดอันดับหนึ่งนานถึง 5 สัปดาห์
23 มีนาคม 2004 Greatest Hits วางจำหน่ายที่อเมริกา ติดอันดับ 3 ทันที
สุดท้ายแระ 7 ธันวาคม 2004 Velvet Revolver เข้าชิง Grammy Award สาขา Best Hard Rock Performance, Best Rock Song และ Best Rock Album

สุดท้ายวง Heavy Metal ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุค 80 ก็ต้องจบลงไป โดยที่จะกลับมารวมตัวกันอีกคงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ถ้าเงินถึงจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเห็น Guns N' Roses สมาชิกเดิมและอัลบั้มใหม่แน่นอน

ที่มา  http://80sretro.exteen.com


ประวัติ Metallica ตำนาน Thrash Metal ที่สุดยอดที่สุดในอดีต






ก่อตั้ง - น่าจะประมาณปี 1981 ในLA,California

- ในปี 1973 Lars Ulrich (มือกลอง) ได้ค้นเจอแผ่นเสียงแผ่นนึงของ Deep Purple มันเป็นบันทึกการแสดงสด เด็กจิ๊บจาก Copenhagen Denmark ก็บอกกับตัวเองว่า อยากตีกลองวุ้ย 9 ขวบนะเนี่ย
- 1976 Lars ก็มีกลองเป็นของตัวเอง ยายเค้าซื้อมาให้ซะด้วย เค้าได้ยึดเอา Ian Paice  ของ Deep Purple เป็นแม่แบบ
- เดือนสิงหาคมปี 1980 ครอบครัวของ Lars ย้ายบ้านไปอยู่ Newport Beach, California เพื่อหัดตีเทนนิส!!!
- พอช่วงกลางๆ ปี 1981 Lars ได้เดินทางไปยังอังกฤษ เพื่อไปชมวง Diamond Head แสดงสด และพบกับ Sean Harris ที่เป็นนักร้องนำ และเค้าก็ขลุกตัว เรียกง่ายๆ ว่ามั่วนิ่มอยู่กับ Diamond อยู่หลายเดือน ก่อนที่จะประกาศว่า เค้าจะต้องมีวงเป็นของตัวเอง
- James Hetfields เดินทางมาพบกับ Lars เนื่องจากไปพบกับประกาศรับนักดนตรีตามเสาไฟ ทั้งสองคนเริ่มสนิทกันเนื่องจากชอบดนตรีแนวใกล้เคียงกัน ก็พวก New wave of British Heavy Metal เหมือนๆกัน (ว่างๆ จะเขียนให้อ่านกันนะไอ้ NWOBHM เนี่ย) หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ตัดสินใจจะฟอร์มวงดนตรีขึ้นโดยมีสมาชิก 2 คนแน่ะ HetfieldsเกิดปีเดียวกับLars
- ในปี 1982 ทั้งสองคนก็ได้มีโอกาสทำเพลงขึ้น โดยเป็นอัลบั้มรวมฮิตร่วมกับศิลปินแถวๆ Los Angelis โดยอัลบั้มนั้นมีชื่อว่า Metal Massacre I คือเพลง Hit The Light โดยที่ Lars เล่นกลอง James เล่น Rhythm Guitar, Bass แล้วก็ร้องนำ ส่วนกีต้าร์โซโล ก็ไปดึงเอา Lloyd Grant ซึ่งเป็นเพื่อนๆ มาช่วยเล่นให้
- หลังจากนั้นไม่นาน ทางวงก็รับสมาชิกใหม่ก็คือ Dave Mustaineและ Ron McGovney มาเล่นกีตาร์โซโล และเบสตามลำดับ ปล.Mustaine เกิดปี1961 แก่กว่า Hetfields และ Ulrich 2ปี
- วันที่ 28 มีนาคม 1982 Metallica ได้เล่นเป็นวงเปิดของ Saxon โดยที่ Metallica เล่นเพลงของ Diamond Head, Savage และ Sweet Savage เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย
- ในเดือนเมษายน 1982 พวกเค้าก็ทำเพลงขึ้นมาใหม่อีก 4 เพลงเพื่อเป็นค่ากับข้าว โดยที่ทั้งสี่เพลงนั้นก็คือ Hit the Light, The Mechanix (ตอนหลังนำมาเปลี่ยนชื่อเพลงเป็น The Four Horsemen) , Jump in the Fire และ Motorbreath Demo Album อันนี้ขายดีมากทำให้ทั้งสี่คนอิ่มหนำสำราญได้เลยล่ะ และที่สำคัญ เดโมชุดนี้ หามะได้อีกแล้วจ้า
- ในช่วง 2-3 เดือนนี้ Metallica ก็รับสมาชิกเพิ่มอีกคนก็คือ Jeff Warner มาเล่น Rhythm อีกคน โดยที่พวกเค้าแต่งเพลง Metal Militia, Seek and Destroy และ Phantom Lord
- ในเดือนกรกฏาคม James กับ Lars ไปเที่ยวที่ Whiskey-A-Go-Go และได้พบกับ Cliff Burton ทั้งสองคนประทับใจในการเล่นเบสของหมอนี่มาก แต่ชวนแล้วไม่ยอมมาซะยังงั้นแหละ 
- เดือนพฤศจิกายน 1982 พวกเค้าก็ไปเล่นเป็นวงเปิดให้กับ Y & T อีกไม่กี่วันต่อมาคือ วันที่ 29 พฤศจิกายน พวกเค้าก็ไปเล่นในคอนเสิร์ทที่ Bay Area ก็มีเพลงใหม่มาโชว์อีกก็คือ Whiplash โดยที่มีวงดาวรุ่งอีกวงก็คือ Exodus และวงนี้เอง James กะ Lars ก็ติดใจฝีมือการโซโลของ Kirk Hammett ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 20 ปีเองง่ะ และวันรุ่งขึ้น ก็เป็นคอนเสิร์ทครั้งสุดท้ายของ Ron 
- ปลายเดือนกุมภาพันธ์ Metallica ได้ต้อนรับสมาชิกคนใหม่ก็คือ Cliff Burton เข้ามาเล่นเบส ซึ่ง Cliff ได้เป็นจิ๊กซอคนสำคัญของ Metallica เลย เพราะเค้าสามารถแต่งเพลงและเรียบเรียงเพลงได้ และเริ่มทำเพลงกันเลย
- เดือนเมษายน ไล่ Dave ออกจากวง และเชิญ Kirk Hammett มาเล่นแทน 
- 10 ถึง 27 พฤษภาคม 1983 พวกเค้าทั้งสี่คน ร่วมกันทำอัลบั้มแรก Kill 'em all
- Kill 'em all วางจำหน่ายในเดือน กรกฏาคม 1983 ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มแรกของพวกเค้า
- ช่วง 27 กรกฏาคมถึง 3 กันยายน พวกเค้าทั้งสี่คน ก็ออกทัวร์กัน 
หลังจากนี้ จะเป็นเรื่องราวคร่าวๆ แล้วนะครับ 
- เมษายน อัลบั้มที่สอง Ride the lighting ก็ออกวางจำหน่าย โดยอัดเสียงกันที่เดนมาร์กและวางจำหยน่ายในเดือนกรกฏาคมปี 1984 
ในช่วงนี้ Metallica เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ พอวันที่ 17 สิงหาคมปี 1985 metallica ก็ได้รับเชิญไปเล่นในงาน Monsters Of Rock festival ที่อังกฤษ โดยเล่นประกบกับ Ratt และ Bon Jovi ซึ่ง James ได้พูดประโยคอมตะ

"If you come here to see spandex and fuckin' eye make-up and all that shit and the words rock'n'roll baby in every fuckin' song, this ain't the band!". 

แปลเองนะ เหอๆๆ ในช่วงนี้พวกเค้าก็ออกทัวร์แล้วก็เริ่มทำเพลงในอัลบั้มที่สาม
- 27 มีนาคม 1986 Master of puppets ก็ออกวางจำหน่าย ทำให้ metallica มีชื่อเสียงและโด่งดังสุดๆ 
- 27 กันยายน 1986 ระหว่างทางไปโคเปนเฮเกน รถบัสของพวกเค้าเสียหลักและทำให้ Cliff Burton เสียชีวิต ทางวงประกาศงดคอนเสิร์ท นับว่าเป็นการสูญเสียบุคลากรทางดนตรีอย่างใหญ่หลวง เขาตายเมื่ออายุเพียง24ปีเท่านั้น 
- ตุลาคม 1986 Jason Newsted จากวง Flotsam and Jetsam ก็เป็นสมาชิกใหม่ของวง
- 5 กันยายน 1988 อัลบั้มสุดยอดตลอดกาลของ Metallica ก็ออกวางจำหน่าย ...And justice for all
- กุมภาพันธ์ 1991 Metallica ได้รางวัลแกรมมี่สาขา Best Heavy Metal Performance จากเพลง Stone Cold Crazy ที่ cover ของวง Queen มา
- 12 สิงหาคม 1991 อัลบั้มที่ขายดีที่สุดของวงก็ออกวางจำหน่าย ใช้ชื่อว่า Metallica โดยเปลี่ยนโปรดิวเซอร์มาเป็น Bob Rock 
ในช่วงปี 1991 -1993 Metallica ได้ออกตะเวนทัวร์รอบโลกกว่า 300 โชว์ใน 37 ประเทศ โดยที่หนึ่งในนั้น วันที่เท่าไหร่จำมะได้แล้ว เดือนเมษาหรือพฤษภาปี 1993 ที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง สาวกกระโหลกเหล้กชาวไทยก็ได้ชมสุดยอดคอนเสิร์ทของ Metallica คนกว่า 30000 คน แน่นเอี๊ยด ไม่มีการตีกันเลย เหอๆๆ
หลังจากนั้นทางวงก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าพ่อแห่ง Thrash Metal โดยที่ไม่มีใครกล้าเถียง แม้แต่ Megadeth ที่นำโดย Dave Mustaine ก็ยังยอมรับ เด็กหนุ่มจากหลายที่รวมทั้งประเทศไทยก็เริ่มหัดเล่นเพลงของพวกเค้า และหลายๆ วงก็ได้พวกเค้าทั้งสี่คนมาเป็นแม่แบบในปัจจุบัน 
แต่.... Metallicaได้เปลี่ยนลุคใหม่ ตัดผมสั้น แต่งตัวดูดีขึ้น ซึ่งทำให้แฟนเพลงMetalแท้ๆเริ่มมองว่าMetallicaไม่ได้เป็นMetalแท้ๆแล้ว จึงมีบางส่วนที่เลิกนับถือวงนี้
แม้Metallicaจะยังออกอัลบั้มใหม่ แต่อัลบั้มLoad, Reload และ St.Anger ได้ถูกพิษของธุรกิจและการมาแรงสุดๆ ของ hard core เข้าแทรก จึงทำให้สาวกรุ่นเก่าไม่พอใจ ทำให้ยอดขายของ Load และ Reload น้อยมาก รวมไปถึง St.Anger ด้วยซึ่งชุดนี้ทุเรศมาก ไม่มีเพลงช้า ไม่มีกีต้าร์โซโล่ความรุนแรงก็ลดไปเยอะ อีกทั้งความยาวของเพลงก็เกินไป 11เพลง พี่แกล่อ75นาทีจนมีเมทัลรุ่นเก๋าหลายๆ คนไม่นับญาติกับสามอัลบั้มนี้ (รวมถึงตัวผมเองด้วย) ปัจจุบัน เจสันออกจากวงไปเมื่อปี2001 และได้ ร็อบ ทรูจิลโล มาเล่นเบสให้แทน ซึ่งคนเนี้ยชอบทำตัวเป็นกอริลล่าดีดเบส(หน้าให้ด้วย)

Metallica's Discograhpy
Kill 'em all 1983
- Ride the lightning 1984
Master of puppets 1986
- Garage days Revisited (cover album) 1987
...And justice for all 1988
Metallica 1991
Live Shit : Binge & Purge (Live) 1993
- Load 1996
- Reload 1997
Garage Inc. (cover album) 1998
- S & M (Live) 1999
- St.Anger 2003
- Some kind of monster (Live & new single) 2004